วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การสอบกลางภาค การรายงานตัว ทุกคนอ่านด้วยครับ




Dear all,

I think you are now very busy with your study (for your mid-term exam). Study is important, but don't forget that your health is also important na krab. So get enough sleep. Drink a lot of water. And if possible, try not to drink too much coffee or กระทิงแดง or M100.

After the mid-term exam, you all will be free and go back "home" to be with your family. Enjoy every moment with them na krab.

All the best for you krab.
ทุกคนที่เข้ามาอ่านข้อความนี้แล้ว ให้ดูรายชื่อ รายการ Blog ของฉัน ด้วยนะครับ ว่ามีชื่อ Blog ของเราที่อาจารย์จะ Link เข้าไปอ่านได้หรือยัง หาก ยังไม่มี ก็ Comment บอกอาจารย์นะ จะได้เพิ่มรายชื่อเราเข้าไป

แต่มีแล้ว จะเข้ามา comment ก็ไม่ว่ากันครับ จะได้ครื้นเครง

มีความสุข มากๆนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความทรงจำ ครั้ง ที่เจอมรสุมของชีวิต


ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนเรียนหนังสือ


3 พค 2551



วันนี้ ผมมีความรู้สึกว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ผมทำ มันคือสิ่งที่ผมต้องการแล้วหรือ

ตื่นขึ้นมา ท่ามกลางความหนาวเย้นของอากาศ รับไปอาบน้ำ แต่งตัว

ลงครัวไปทำกับข้าว มีอะไรที่พอทำได้ ผัดผัก หูดทอดกระเทียม ลาบ ทำให้เยอะๆ จะได้ห่อไปกินตอนเที่ยง แล้วอาจกลับมากินต้องเย็น

ชงกาแฟ ใส่กะติก แล้วก็มุ่งไปอ่านหนังสือที่มหาลัย


เพื่ออะไร ทำไมต้องอ่านหนังสือเยอะมากมายขนาดนี้

ทำไม อาจารย์ ให้เราอ่าน แล้ว ก็อ่าน อ่าน อ่าน แก้ไข แก้ไข อ่าน เขียนใหม่ แก้ อ่าน


ผมเองก็ตอบลำบากนะ บางครั้งผมก็รู้สึกว่า ปริญญาไม่ได้มีความหมายกับผมเลย เรียนไปก็เพื่อ ให้คนอื่นได้รู้ว่า เออ ลูกบ้านนี้ ขยันนะ

เรียนสุง เรียนเก่ง เรียนดี ทำไมละ นั่นนะสิ ทำไม


ทำไมเรียนเยอะบบนี้ ใครๆก็ว่า ถ้าผมทำไม่ได้ คนอื่นก็คงทำไม่ได้หรอก แล้วไง เรียนเยอะแล้ว หมายความว่า ผมต้องทำได้

หรือเรียนเยอะแล้วแปลว่าผมวิเศษเหรอ บางครั้งผมเบื่อนะ กับวงจรชีวิตแบบนี้


ขอโทษนะครับ วันนี้ผมอ่อนแอ พอสมควร ผมรู้ว่าผมอ่อนแอ ขอเวลาสักพัก ผมขอดูใจ รู้ให้ทัน แล้วผมจะกลับมามีสติเหมือนเดิม
......................................
ผ่านไป ไม่นาน หลังจากที่เขียน ความรู้สึกลงใน Facebook.......
และนี่ สิ่งกำลังใจที่ได้รับ
ยามที่อ่อนแอ...เป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์มีเข้มแข็ง มีอ่อนแอมีสุข มีทุกข์มีหัวเราะ มีร้องไห้เหรียญยังมีสองด้าน...แต่แน่ใจหรือ ว่ามีสองด้านจริง ๆ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อย่างที่เราเคยเรียนกันมาต้องการสังคม เพื่อนฝูง...และการยอมรับมนุษย์บางคน จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อการได้รับการยอมรับและหรือเพื่อหน้าตาในสังคม...ซึ่งมีตัวตน หรือ "อัตตา"อยู่ล้น ปรุง คิด รู้ อย่างมีสติ...จำได้ไหม สติสำคัญมากสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามพี่เชื่อว่า สติจะกลับมาได้เหมือนเดิมในไม่ช้า... อ่อนแอเถิดในบางครั้ง...แต่อย่าเอามาเป็นอารมณ์...ถึงอย่างไรเราก็มีเพื่อนคุย...ให้ระบายความในใจ...และคอยให้กำลังใจนะ... เข้มแข็งนะน้อง
รู้สึกดีขึ้นหรือยัง... ความเข้มแข็ง พร้อมต่อสู้กับชีวิต และอารมณ์ต่าง ๆที่มากระทบ..พร้อมหรือยัง. พี่เองก็มีเรื่องต้องให้ท้อ ต้องให้อ่อนแอต้องให้เหนื่อยอยู่มากเหมือนกัน ...แต่ก็ต้องสู้นะ..ชีวิตคือการต่อสู้ ปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ใช่มีไว้ให้หนี
วันนี้ นายคงเข้มแข็งขึ้นแล้วใช่มั้ย เป็นธรรมดาของคนบางครั้งย่อมรู้สึกเซ้ง ท้อแท้บ้าง แต่มันไม่ใช่ทุกวันหรอก เพราะนายรู้ว่าเป้าหมายนายคืออะไร มันจะแย่แค่ไหนถ้าเรายอมแพ้ไปก่อน ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ทำให้ดีถึงที่สุดของความสามารถเรา นายเป็นคนโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ได้โอกาสเรียนสูง ได้ทุนหน่วยงานที่มองเห็นศักยภาพของนาย ยังมีคนอื่นที่อยากมีโอกาสเช่นนั้นยังไม่สามารถมีได้ อดทนไว้ ปริญญาเอกมันไม่ได้ง่ายๆหรอก ใครๆก็รู้ นายต้องพิสูจน์ถึงความแกร่งทั้งองค์ความรู้ และจิตใจที่มุ่งมั่นแข็งแกร่งด้วย ดอกเตอร์สมัยนี้อายุยังน้อยกันเนอะ สมัยก่อนๆกว่าจะจบก็เหลืออายุราชการรับใช้ชาติน้อยแล้วคนเราเกิดมาต่างมีความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนหัวดี รักการเรียน ก็ออกมาทำงานในสายวิชาการ บางคนถนัดปฏิบัติมากกว่า เช่นงานช่าง งานค้าขาย ผมว่าคุณเลือกแนวที่คุณชอบอยู่แล้ว ไม่ผิดหรอก
........................





และท้ายที่สุด (ครึ่งหนึ่งของตัว)ผมก็ได้เขียนจดหมาย ให้กำลังอีกครึ่งหนึ่งของตัวผมเอง

Dear the first half of Pik,
Do not give up your dream!There are a lot of people who are waiting for your success.

They will be ready to cry with you, share the happiness with you, listen to you,
play with you, stand right beside you, laugh with you. Don't give up!Life is worth living!!!!!

The second half of Pik
ใช่ อย่างที่ว่าจริงๆ ด้วยนะ
เพราะมาวันนี้ วันที่ผ่านอะไรมาได้
ทำให้ได้รู้ว่า ในชีวิตนี้ ยังมีใครอีกหลายคน ที่ทำให้พวกเค้าได้รู้ว่า ผมต้องอยุ่เพื่อใคร

Dance with my father again!

I am now sitting at BELL Coffee, Suan Mak. This is one of my favorite places when I really want to work. I love the atmosphere - people reading magazines, talking with each other, doing their work/ homework, drinking their favorite drinks.

I come here three to four times a week and the cashiers would know what I will order when I enter the place. Within a few mintues, Iced Mocha with a small cup of hot milk will be served on my table.

Well, the topic of my writing is 'Dance with my father again'..... Nothing much, I just listened to this song and it made me think of the LNG 102 class. I can always smile when I am with my students. I have to wait for about three weeks to see them again..... such a long time!

Well well, but at least I can still look around at thier blogs.... it's fun to read what they have written.

I am learning them and they are learning me. We are learning from each other....

Isn't that a good thing?

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รับปริญญา











What I see?

I still remember the first day I walked into the LNG 102 Group 8 class. I was a bit nervous at the beginning because I just knew that there are the students are MIXED. They are from THREE different majors. It would be difficult for them to get to know each other.

But things turned out differently. I used differnt techniques with them - playing games, showing video clip from youtube (X Factor), smiling, being friend (as much as I can) with them. These help me a lot.

I am teaching 5 groups this term and I can proudly say that I enjoy teaching this group the most. I agree that when we are motivated, we tend to bring all the good things in the class as well.

Writing blog is the first activity that I introduce to this group. It will be the place for them to reflect what they learnt, to write what's in thier mind, to share experience with friends, and to be a place to use English in the real world.

I really hope my students will enjoy what I have prepared for them.

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผมได้เรียนรู้อะไร จากการให้นักศึกษาลองเขียน ย่อหน้าสั้นๆ

เทอมที่แล้ว ให้นักศึกษาเขียน Free Writing โดยมีหัวข้อว่า If I were xxxx, I would xxxxx


พออ่านแล้ว ก็ทำให้เห็นว่า นักศึกษา เขียนได้น่าอ่าน แม้จะมีผิดพลาดบ้าง แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก
มาสะดุดกับงานชิ้นหนึ่ง ชอบมาก


If I were to compare myself with a thing, I would compare myself with a box. This is because I think I am like a box. When people look outside, they will say "there is nothing. It is just a box". But they don't know that there are many things inside of that box. It is like me now. If someone wants to know me, please come to talk with me first and don't look at me only outside because in my mind, there are many things that you don't know yet.

A paragraph written by one of my students....

I am so proudddddddd of you...

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนๆ อธิ ขอมาเล่าเรื่องราวที่ อธิภูมิใจให้ฟังนะ



อาจจะไม่ดูยิ่งใหญ่กับใครๆ มากนัก



แต่ว่าสำหรับอธิแล้ว มันสำคัญมากทีเดียว



ไม่รู้สิ เพราะการทำสิ่งนี้ มันเหนื่อยและท้ออย่างมาก



ไม่ค่อยได้ร้องไห้กับใครหรืออะไร



ก็ต้องมาร้องด้วยเรื่องนี้



ชีวิตอธิ หายไปสามปีกว่า



ไม่รู้ว่ามันคุ้มไหม กับเวลาที่หายไป



ตอนนี้ รู้เพียงแค่ว่า



ต่อไปนี้ จะทำอะไรเพื่อคนที่เรารักให้มากที่สุด



จะใช้เวลา ที่มีกับคนที่เรารักมากที่สุด



และต่อไปนี้ จะไม่มีใจให้กับ คนๆนี้ อีกต่อไป



ลาก่อนนะ










วิทยานิพนธ์








พวกเรา รัก"แม่" แค่ไหน

ได้ไปเห็นข้อความเหล่านี้มา และเห็นว่ามีข้อคิดดีแฝง เลยคิดว่าอ่านแล้วน่าจะได้แง่ดีดีๆครับ

ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน
ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม
และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน
'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง'
'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย'
'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'
'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ'

ประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิดและคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทร
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์
ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น
พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน
'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ

แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' 'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง'
'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' 'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ'

โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย
ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว
ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง
จนกระทั่งวันนั้น 'ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย'
'เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ'
'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ'
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'
'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย'
ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ

'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่'

หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น
ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น

และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ
หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม'
สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม
วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม

ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต

ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา

โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่
ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ

คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ

คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหา ผม

'และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'

ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว'
มันก็ไม่เป็นความจริง 'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'
อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม

หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลาย ๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น

หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเ ราเอง
'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'

ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์
รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว


รักพ่อแม่ให้มากๆนะคะน้องๆ

ความรักของแฟนหรือเพื่อนรวมกันทุกคน ยังไม่เท่ากับความรักของพ่อแม่เวลาท่านโมโหเลย

อีกวันหนึ่ง ที่ผมมีความสุข แด่ทุกความรักที่หล่อเลี้ยงเรา ขอบคุณครับ

(30 เมษายน 2550 ที่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เมือง Coventry ประเทศอังกฤษ)

วันนี้เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่สำหรับผมแล้ว
ในความธรรมดามันก็แฝงความพิเศษอยู่ในตัวของมันเอง

วันนี้วันเกิดผมเองครับ

ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับวันนี้
หากถามว่าหวังอะไร คงแค่อยากให้เพื่อนผมคนหนึ่งติดต่อมา เท่านั้นเอง

แต่ความพิเศษไม่ได้อยู่ที่นี่
มันอยู่ตรงที่ การที่ผมได้เจอในสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังต่างหากละ

มันจะมี surprise ได้ไง ในเมื่อผมเองอยู่ตั้งอังกฤษ
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ จริงไหม

ที่บ้านตั้งใจโทรมาจากเมืองไทยเพื่ออวยพรให้ผม
เพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่ ม ปลาย ส่งจดหมายมาอวยพร


วันนี้ ได้ สวดมนต์ ไหว์พระ ทำจิตใจให้สงบ และเป็นสุข
ตัวเราจะอยู่ไหน ถ้าใจเป็นสุข อะไรๆมันก็ไม่ได้แย่เลย

แม่บ้านเกาหลีก็ดูแล ทำกับข้าวให้กิน

ตอนเย็นๆ เพือนก็ทำsurprise นะ บอกว่ามีพัสดุมา ให้ไปรับด้วย
พัสดุที่ได้มา คือขนมเค้ก

คือตัวแทน ที่แสดงถึง มิตรภาพ และความเอาใจใส่จากเพื่อน

ได้นั่งคุยกัน ดูละคร ลุ้นไปด้วยกัน

อยากรู้จัง ว่าชีวิตผม หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ พ่อแม่ พี่ น้อง เพื่อน ความรัก ความเป็นห่วงเป็นใย
ผมจะเป็นยังไง

ผมก็คงอยู่ได้นะ

แต่ชีวิตมันก็คง ไม่ยังไม่เติมเต็ม


ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกๆความรัก ที่หล่อเลี้ยงเรา