True!
Happiness does not always come at the end.
It can happen along the way.
...
Even at end you might not achieve whatever you try to achieve,
it is not a waste of time.
That's because you have already cherished every moment you had gone through.
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554
Happiness does not always come at the end
Old Time Never Be Back: One of my students writing
Freewriting
Old Time Never be Back
Sometimes we had our special moment in life that unable to delete in memory. We always wish that the moment could happen again, but it couldn’t. Sometimes we always long for the wonderful moment that we spent to the one we love the most. It is the fact that we cannot return the past, so why don’t we spend a time when people whom we love are still alive? Especially our parents that we rarely spend a time with them. On the contrary, we always long around with friends, and when our dear parents are gone, we surely cry for them, and this would be a time when we realize that why don’t we spend a time with them more. All we could do is just think about the old wonderful moment that we spent with them. Sometimes we would like to after the word “love” with our parents, but we don’t do because of embarrassment, so just do it before it is too late.
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Harrogate Conference Brochure[1]
วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
สวัสดีปีใหม่ วันสงกรานต์
วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553
ด้วยความคิดถึง
ทำข้อสอบกันได้ไหมครับ
เป็นยังไงกันบ้าง
ไม่ได้สอนพวกเรา คิดถึงความรู้สึกดีๆ ตอนที่อยู่ในห้องเรียน
อาจารย์เดิน ผ่านเพื่อนๆเรา หลายคน และยังดีใจ ที่ทุกคน ยังแวะคุย ไหว้ เคาความเคารพ หรือไม่อย่างน้อยก็ยิ้มให้กัน
ยังไม่เจอใคร วิ่งหนี หรือไม่สบตา
ยังไง ก็ เล่าสู่กันฟังบ้างนะ
My Best Class of the Term (Actually of the year!!)
อยู่ตรงไหนหรือเธอ
หลับสบายดีหรือไรอยู่กับใครที่ไหน
รู้ไหมยังมีใครคิดถึงเธอ
สุดขอบฟ้าแสนไกล ส่งใจไปให้ถึงเธอ
อยากให้เธอรู้ไว้ ฉันขอเป็นส่วนหนึ่งของเธอ
* วันที่เธอร้อนรนจิตใจ วอนให้ลมพัดไปที่เธอ
ให้พัดเอาความรู้สึก ของฉันไปบอกเธอ
** บอกว่าฉันรักเธอห่วงเสมอทุกคราว
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
Reflection and Learning Experience
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วัน Valentine กับความรัก ที่ไม่ลับของผม
มันก็คือวันธรรมดาวันหนึ่งของผมแต่มีคุณค่าต่อจิตใจผมเหลือเกิน
ตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่รักกันมาก บอกว่า ‘Happy Valentine’ แค่นี้ก็สุขใจแล้ว
อยากบอกว่า “xxxx ผมดีใจที่ได้รู้จักคุณ ผมจะเป็นเพื่อนพิเศษของคุณตลอดไป”
เข้าไปมหาลัยกินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน ที่เป็นทั้งเพื่อนกิน เพื่อนช้อบ เพื่อนร่วมงาน
อยากบอกกับเธอว่า “xxx ผมขอบคุณสำหรับมิตรภาพ ผมจะรักษามันอย่างดี”
กลับมา เข้า office assign งานให้นักศึกษามาช่วยทำงาน นักศึกษาก็ช่วยอย่างเต็มที่
อยากบอกกับน้องว่า “xxx พี่ขอบคุณกับความตั้งใจกับงานที่ทำ’
ไปเดินดูหนังสือที่ศูนย์หนังสือ TU แวะร้านกาแฟ แม่ค้าคุย + บริการดีมาก
อยากบอกกับพี่แม่ค้าว่า “ขอบคุณนะครับกับการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม’
บ่ายแก่ๆ ไปเดินวัดพระแก้วกับเพื่อน
อยากบอกกับเค้าว่า ขอบคุณเวลาดีๆ กับเพื่อนร่วมทางดีๆ ครับ
นั่งเรือด่วนกลับมหาลัย เจอชาวต่างชาติแสนใจดี นั่งคุยไปตลอดทาง
อยากบอกกับเค้าว่า ‘It was nice talking to you”
ตอนเย็น ไปทานข้าวกับครอบครัว
อยากบอกกับพวกเค้าว่า ผมรักพ่อ รักแม่ครับ
ค่ำๆ คุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
อยากบอกกับพวกเค้าว่า ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ดี
และวันนี้เข้ามาเขียนความรู้สึกดีๆ กับเพื่อนๆ EC
อยากบอกกับทุกคนว่า ขอบคุณครับ มีความสุขกันถ้วนหน้านะครับ
.......................................................................
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
หากเราได้รู้อะไรล่วงหน้า บางอย่าง เราจะ .....
หากเราได้รู้อะไรล่วงหน้า บางอย่าง เราจะเลือกทำ หรือเลือกที่จะไม่ทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่างไหม
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
Time and Decision Making
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
ครู
วันนี้ตอนเช้า เห็นเพื่อนที่รู้จัก เขียนข้อความนี้ใน Face Book
"ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนเด็กๆ ก็จะมีคำถามว่าวันนี้วันอะไร และเด็กๆ ก็จะตอบว่าวันครู ซึ่งสงสัยมานานว่า ในเมื่อเป็นวันครู ทำไมครูไม่หยุดสอน เด็กจะได้ไม่ต้องมาโรงเรียน จนโตมาถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วที่ไม่หยุดสอน เพราะวันนี้หวยออก ครูต้องมาเขียนโพย แทงหวยกันที่โรงเรียน"
รู้สึก ไม่ดีเลยกับความรู้สึกแบบนี้
จริงสินะ ครูก็คงเป็นคนที่ทำหน้าที่สอนหนังสือ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น จะต้องไปสนใจใส่ใจทำไม
บ่อยครั้ง ที่เจอเจอผู้เรียน เดินเข้าห้องเรียน หรือเดินออกจากห้องเรียน ตามใจ โดยอาจคิดว่า ฉันเป็นผู้ซื้อบริการของมหาวิทยาลัย ฉันคือลูกค้า เธอคือผู้ให้บริการ
เช่นกัน บางครั้งเจอผู้เรียน นอกชั้นเรียน ตัวผู้สอนจะถูกเมินเฉย หากเค้ามาเป็นกลุ่ม หรือมากับแฟนด้วยแล้ว ยิ่งจะทำราวเป็นอากาศธาตุในทันที ครูคงเป็นบุคลลที่น่าอับอายมากสินะ
ยังไงก็ตาม ผมมีชีวิต มาได้ถึงปัจจุบันนี้ เพราะมีครู หากไม่มีพวกเค้าเหล่านั้น ผมจะอยู่ที่ไหน เป็นอะไรนะ …ในวันนี้
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553
…ถึงแม้ผมจะเลือกเดินไม่เหมือนใคร แต่ก็จะขอเลือกไปให้สุดเส้นทาง…
“ ดช.อธิปัตย์ คนอย่างเธอไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษไปได้หรอก “ นี่คือคำพูดของอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษในสมัยผมเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากที่ผมตอบคำถามอาจารย์ไม่ถูกต้อง ซึ่งคำตอบของผมคงเป็นคำตอบที่งี่เง่า ไม่เข้าท่าอย่างมากมาย จึงทำให้อาจารย์ผู้สอนถึงกับเอ่ยออกมาเช่นนั้น
ประโยคจากอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษในครั้งนั้น มันยังก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลา แม้ครั้งแรกผมอาจจะอาย โกรธ หน้าชา และรู้สึกเสียหน้าพร้อมทั้งคิดว่าตัวเองโง่ และไม่มีความสามารถทางภาษาเอาเสียเลย แต่... หลังจากความรู้สึกเหล่านั้นก่อตัวขึ้นมาก็จะจางหายไปในชั่วพริบตา เพราะประโยคนี้กลับกลายเป็นประโยคที่มีบุญคุณกับผมเหลือเกิน เพราะนี่คือ “ประโยคทอง” ในชีวิตของผมเลยทีเดียว ด้วยว่ามันสามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กผู้ชายที่ไม่เรียนไม่เก่งคนหนึ่ง ให้มีแรงฮึด แรงบันดาลใจ หรืออะไรก็ตามที่สามารถทำให้ผมลุกขึ้นมาต่อสู้กับความเขลาของตัวเอง เพื่อลบคำสบประมาทจากอาจารย์ และใฝ่ฝันที่จะเป็น “ ครูสอนภาษาอังกฤษที่ดี “ ครูที่มีความรู้ เข้าใจศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน มีจิตวิทยา และทักษะในการสอนภาษาอังกฤษให้เป็นเรื่องง่าย ๆ และเรียนรู้ได้สำหรับทุกคน
จุดเริ่มต้นในการตามความฝันของผม .. ไม่ง่ายเลย .. เพราะผมไม่ใช่เด็กเรียนดี ผมไม่เคยสอบได้ที่ 1 สอบเข้าเรียนโรงเรียนชายประจำจังหวัดก็ไม่ติด ฉะนั้น ผมจึงต้องทำอะไรเป็นสองเท่าเสมอ เพราะแม้ผมอาจจะไม่มีพรสวรรค์ แต่ผมก็ไม่ย่อท้อที่จะแสวงหาหนทางเพื่อให้ผมไปถึงฝัน ... ด้วยความตั้งใจจริงและมุ่งมั่น ทำให้ผมสอบเข้าโรงเรียนชายประจำจังหวัดระดับมัธยมปลายได้ และจากเด็กชายผู้ไม่เคยสอบได้ที่ 1 ไม่เคยมีใครมองเห็นความสามารถ ผมกลายเป็น “ New Pik “ เป็นคนใหม่ที่ไม่มีใครคาดถึง... ผมสอบได้ทุนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม AFS ไปประเทศฮอนดูรัส แล้วกลับมาด้วยความมั่นใจ มีความรับผิดชอบและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และด้วยความที่ผมเกิดมาในครอบครัวที่เห็นความสำคัญของการเรียนและสนับสนุนผมในทุก ๆ อย่างที่สามารถทำได้ เมื่อน้าสาวชวนให้ไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผมจะไม่รีรอที่จะก้าวไปยังสถานีความฝันต่อไป
ผมกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอีกครั้งหลังจากจบมัธยมปลายโดยได้รับรางวัล Outstanding Student Award ได้ศึกษาต่อสาขาภาษาอังกฤษและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (เกียรตินิยมอันดับ 1) โดยระหว่างเรียนผมไม่ได้เพิ่มทักษะทางวิชาการให้ตัวเองเท่านั้น แต่ผมเห็นความสำคัญของการเพิ่มทักษะชีวิตด้วย ผมจึงรับสอนพิเศษภาษาอังกฤษตามบ้านและตามสถาบันต่าง ๆ ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ ขอเข้าเป็นนักศึกษาช่วยงาน TA สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี เป็นผู้ช่วยแม่ครัว เป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย และทำอะไรอื่น ๆ อีกมากมาย เท่าที่เวลาผมจะอำนวย โดยไม่ให้เสียการเรียน เพราะนอกจากประสบการณ์ชีวิตที่ผมจะได้รับ การที่ผมบริหารเวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดนี้ยังหมายถึงรายได้ที่สามารถแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้อีกด้วย
“การวางแผนชีวิต “ เป็นอีกคุณสมบัติของผมที่ปฏิบัติเรื่อยมา เพราะผมคิดเสมอว่า “คนเราต้องมีเป้าหมายให้ชีวิต เพื่อที่วันใดเราเดินหลงทาง หรือเดินทางผิด เมื่อเรารู้ตัวเราจะได้เห็นทางเดินที่เราตั้งใจไว้ และกลับมาตามหาจุดหมายที่ฝันไว้อีกครั้ง “ แต่เป้าหมายของผมไม่เคยมีเพียงหนึ่งเดียว ผมมักมีเป้าหมายสำรองไว้เสมอ เพราะคติประจำใจที่ผมท่องไว้ตลอดเวลาคือ “Thing do not always turn out the way you plan…. “ ดังนั้นในระหว่างที่เรียนปริญาตรีที่ม.อุบล ผมจึงเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู และปริญญาตรี สาขาทฤษฎีและเทคนิคทางรัศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชควบคู่ไปด้วย
ความฝันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อผมเข้าเรียนในระดับปริญญาโท สาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยรับทุนพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท – เอก ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ด้วยความประทับใจในสถาบัน วัฒนธรรมการทำงาน ความทุ่มเทต่องานสอนของอาจารย์ตลอดจนเนื้อหารายวิชาที่เน้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างพึ่งตนเองของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำให้ผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันที่ทรงเกียรตินี้ ผมตัดสินใจสละสิทธิ์ทุนพัฒนาอาจารย์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรับการบรรจุเป็นอาจารย์ประจำสอนวิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มจธ.
การเดินทางรอบสุดท้ายของผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อผมได้รับทุนโครงการพัฒนาอาจารย์ จากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ผมตัดสินใจไปเรียนที่ University of Warwick ประเทศสหราชอาณาจักร การเรียนในระดับปริญญาเอก แตกต่างจากระดับปริญญาตรี และปริญญาโทมาก เนื่องจากหลักสูตรไม่บังคับให้เรียนรายวิชา course work ใดๆเลย แต่จะให้ผู้เรียนเริ่มงานวิจัยอย่างเต็มที่ ผมโชคดีมากที่ได้อาจารย์ที่ปรึกษาที่เก่งและดี แม้ว่าจะได้พบอาจารย์ที่ปรึกษาเพียงเทอมละ 2-3 ครั้ง แต่ว่าท่านคอยให้กำลังใจเรื่องการเรียนเสมอ ท่านให้คำแนะนำเรื่องการนำเสนอผลงานในการประชุมนานาชาติ ตลอดจนการตีพิมพ์งานวิจัย
ในที่สุด วันนี้.. ผมได้กลับมาสอนนักศึกษาตามที่ผมฝันไว้ เป็น “ ดร.อธิปัตย์ บุญเหมาะ “ ที่ทำให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ ปัจจุบันรับผิดชอบสอนภาษาอังกฤษพื้นฐานให้กับนักศึกษาปริญญาตรีคณะต่างๆ สอนวิชาการวิจัยให้กับนักศึกษาปริญญาโท เอกการสอนภาษาอังกฤษ และได้เป็นผู้ประสานงานหลักสูตรปริญญาโทหลักสูตร MA. IN ENGLISH for Professional and International Communication ซึ่งเป็นหลักสูตรใหม่ที่คณะกำลังจะเปิดในปี 2553 นี้ นักศึกษาที่สนใจ สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://arts.kmutt.ac.th/sola/
หลายคน อาจคิดว่า ความฝันที่จะเป็นครูภาษาอังกฤษที่ดีของผมมันแปลกดี เพราะฝันแบบนี้คนส่วนใหญ่เค้าไม่ฝันกัน (ที่ได้ยินบ่อย ๆ คงหนีไม่พ้นฝันอยากเป็น นายแพทย์ วิศวกร ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ .. ) แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนความตั้งใจไปได้ เพราะผมคิดเสมอว่า “ ถึงแม้ผมจะเลือกเดินไม่เหมือนใคร แต่ก็จะขอเลือกไปให้สุดเส้นทาง “... ผมจึงมีวันนี้...
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
New Year's Resolutions
วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552
การสอบกลางภาค การรายงานตัว ทุกคนอ่านด้วยครับ
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ความทรงจำ ครั้ง ที่เจอมรสุมของชีวิต
Dear the first half of Pik,
They will be ready to cry with you, share the happiness with you, listen to you,
play with you, stand right beside you, laugh with you. Don't give up!Life is worth living!!!!!
The second half of Pik
Dance with my father again!
I come here three to four times a week and the cashiers would know what I will order when I enter the place. Within a few mintues, Iced Mocha with a small cup of hot milk will be served on my table.
Well, the topic of my writing is 'Dance with my father again'..... Nothing much, I just listened to this song and it made me think of the LNG 102 class. I can always smile when I am with my students. I have to wait for about three weeks to see them again..... such a long time!
Well well, but at least I can still look around at thier blogs.... it's fun to read what they have written.
I am learning them and they are learning me. We are learning from each other....
Isn't that a good thing?
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
What I see?
But things turned out differently. I used differnt techniques with them - playing games, showing video clip from youtube (X Factor), smiling, being friend (as much as I can) with them. These help me a lot.
I am teaching 5 groups this term and I can proudly say that I enjoy teaching this group the most. I agree that when we are motivated, we tend to bring all the good things in the class as well.
Writing blog is the first activity that I introduce to this group. It will be the place for them to reflect what they learnt, to write what's in thier mind, to share experience with friends, and to be a place to use English in the real world.
I really hope my students will enjoy what I have prepared for them.
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ผมได้เรียนรู้อะไร จากการให้นักศึกษาลองเขียน ย่อหน้าสั้นๆ
A paragraph written by one of my students....
I am so proudddddddd of you...
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552
อาจจะไม่ดูยิ่งใหญ่กับใครๆ มากนัก
แต่ว่าสำหรับอธิแล้ว มันสำคัญมากทีเดียว
ไม่รู้สิ เพราะการทำสิ่งนี้ มันเหนื่อยและท้ออย่างมาก
ไม่ค่อยได้ร้องไห้กับใครหรืออะไร
ก็ต้องมาร้องด้วยเรื่องนี้
ชีวิตอธิ หายไปสามปีกว่า
ไม่รู้ว่ามันคุ้มไหม กับเวลาที่หายไป
ตอนนี้ รู้เพียงแค่ว่า
ต่อไปนี้ จะทำอะไรเพื่อคนที่เรารักให้มากที่สุด
จะใช้เวลา ที่มีกับคนที่เรารักมากที่สุด
และต่อไปนี้ จะไม่มีใจให้กับ คนๆนี้ อีกต่อไป
ลาก่อนนะ
วิทยานิพนธ์
พวกเรา รัก"แม่" แค่ไหน
ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน
ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม
และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน
'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง'
'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย'
'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'
'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ'
ประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิดและคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทร
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์
ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น
พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน
'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ
แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' 'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง'
'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' 'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ'
โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย
ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว
ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง
จนกระทั่งวันนั้น 'ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย'
'เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ'
'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ'
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'
'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย'
ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ
'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่'
หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น
ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น
และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ
หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม'
สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม
วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม
ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต
ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา
โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่
ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ
คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหา ผม
'และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'
ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว'
มันก็ไม่เป็นความจริง 'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'
อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม
หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลาย ๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเ ราเอง
'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'
ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์
รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
รักพ่อแม่ให้มากๆนะคะน้องๆ
ความรักของแฟนหรือเพื่อนรวมกันทุกคน ยังไม่เท่ากับความรักของพ่อแม่เวลาท่านโมโหเลย
อีกวันหนึ่ง ที่ผมมีความสุข แด่ทุกความรักที่หล่อเลี้ยงเรา ขอบคุณครับ
วันนี้เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่สำหรับผมแล้ว
ในความธรรมดามันก็แฝงความพิเศษอยู่ในตัวของมันเอง
วันนี้วันเกิดผมเองครับ
ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับวันนี้
หากถามว่าหวังอะไร คงแค่อยากให้เพื่อนผมคนหนึ่งติดต่อมา เท่านั้นเอง
แต่ความพิเศษไม่ได้อยู่ที่นี่
มันอยู่ตรงที่ การที่ผมได้เจอในสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังต่างหากละ
มันจะมี surprise ได้ไง ในเมื่อผมเองอยู่ตั้งอังกฤษ
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ จริงไหม
ที่บ้านตั้งใจโทรมาจากเมืองไทยเพื่ออวยพรให้ผม
เพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่ ม ปลาย ส่งจดหมายมาอวยพร
วันนี้ ได้ สวดมนต์ ไหว์พระ ทำจิตใจให้สงบ และเป็นสุข
ตัวเราจะอยู่ไหน ถ้าใจเป็นสุข อะไรๆมันก็ไม่ได้แย่เลย
แม่บ้านเกาหลีก็ดูแล ทำกับข้าวให้กิน
ตอนเย็นๆ เพือนก็ทำsurprise นะ บอกว่ามีพัสดุมา ให้ไปรับด้วย
พัสดุที่ได้มา คือขนมเค้ก
คือตัวแทน ที่แสดงถึง มิตรภาพ และความเอาใจใส่จากเพื่อน
ได้นั่งคุยกัน ดูละคร ลุ้นไปด้วยกัน
อยากรู้จัง ว่าชีวิตผม หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ พ่อแม่ พี่ น้อง เพื่อน ความรัก ความเป็นห่วงเป็นใย
ผมจะเป็นยังไง
ผมก็คงอยู่ได้นะ
แต่ชีวิตมันก็คง ไม่ยังไม่เติมเต็ม
ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกๆความรัก ที่หล่อเลี้ยงเรา